เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ มิ.ย. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ถ้าพูดถึงเวลาธรรมะ เวลาเราฟังธรรม เราจะประพฤติปฏิบัติธรรมมันติดขัดไปหมดเลย แต่ถ้าเราไปทางกิเลสนะ มันสะดวก มันคล่องตัวทั้งนั้นเลย แต่ถ้าไปทางธรรม มันทำอย่างไร มันเป็นอย่างไร มันเป็นอย่างไรนะ แต่ถ้าไปทางกิเลสไม่ต้องถามเลยทางกิเลสมันไปคล่องตัว แต่ถ้าไปทางธรรมทางธรรม หมายถึงว่า คุณงามความดีไง บุญกับบาป 

ถ้าเราเอาบุญกุศล บุญกุศลมันเป็นอย่างไร แต่บาปทำผิด ทำชั่ว ทำชั่วช้า เราทำได้ทั้งนั้นน่ะ เวลาเราทำไป เราทำแล้วมันเป็นบาปเป็นกรรมใช่ไหม แต่เราทำคุณงามความดีเป็นคุณงามความดีของเรา ถ้าทำคุณงามความดีของเรา ทีนี้ทำคุณงามความดีเวลาใช้คำว่า“ทำดีทิ้งเหวทำบุญทิ้งเหวๆ”คือเราไม่ติดข้อง ไม่สงสัยไงถ้าเราไม่ติดข้องเราไม่สงสัยสิ่งใด

เราทำสิ่งใดนะ แต่เวลาทำของเรา คนมีสติมีปัญญา คนที่มีสติปัญญาเขาทำสิ่งใดเขาต้องมีปัญญาของเขา คำว่า“ทำทิ้งเหว” เราไม่ใช่ทำสุ่มสี่สุ่มห้า เราทำโดยที่ไม่ใช้สติไม่ใช้ปัญญาของเรา

การว่าทำทิ้งเหวคือกิเลสที่มันจะต่อต้าน กิเลสมันจะแทรกแซง กิเลสมันจะขัดแย้งเราทำทิ้งเหวๆไม่ต้องให้มันมาต่อรองไง

“ทำบุญแล้วมันจะได้อะไร ทำบุญแล้วกรวดน้ำหรือยัง ทำบุญแล้วเขาได้ประกาศชื่อเราหรือยัง ทำบุญแล้วเขาจำเราได้หรือไม่” เห็นไหม แล้วมันก็ละล้าละลังๆเพราะมันทำบุญต้องการเอาชื่อเสียง เอาหน้าของมัน แต่ถ้าเราทำบุญทิ้งเหวเลย ถึงเราเสียสละเลย พอเสียสละของเราแล้วมันเป็นกุศลโดยความสะอาดบริสุทธิ์ของเราไง

เวลาเขาทำบุญกุศลของเขาไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม สิ่งที่เขาเกิดเขาทำโดยที่ไม่มีต้นแบบ พอเราไปเลียนแบบเขา เราจะทำให้ได้อย่างเขา แต่เจตนาของเราไม่เหมือนเขาเจตนาของเราละล้าละลัง “มันสมบูรณ์หรือยังมันทำแล้วมันจะได้ไปพรหมหรือเปล่า ทำแล้วมันเป็นพรหมจริงหรือไม่”

นี่ไง ถ้าเราทำบุญทิ้งเหวๆ ทำด้วยสติด้วยปัญญาของเรานะ แต่เวลาคน เรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยากบอกว่าถ้าทำบุญทิ้งเหวเขาพูดถึงเรื่องของเด็กขอทานเขาบอกว่า เด็กขอทานเขาไปหลอกลวงเด็กมา แล้วเราไปทำบุญอย่างนั้นเท่ากับเราไปส่งเสริมเขา

เราก็บอกว่า โอ้โฮ! เอ็งโง่ได้ขนาดนั้นเลยเนาะ เขาหลอกลวงกันมันผิดกฎหมายอยู่แล้ว แต่เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสของเราที่เวลามันละล้าละลังๆโยนทิ้งไปเลยถ้ามันละล้าละลังนะ ถ้าทิ้งไปเลย สิ่งนี้มันจะต่อต้านเราไม่ได้ สิ่งที่ต่อต้านเราไม่ได้ มันจะต่อต้านเราไปไม่ได้เรื่อยๆ ถ้ามันต่อต้านเราได้ครั้งหนึ่ง มันจะต่อต้านเราไปเรื่อยๆ ถ้ามันต่อต้านไปเรื่อยๆ แล้วเราก็จะล้มลุกคลุกคลานนะ “เออ!เราเป็นคนฉลาด ของอยู่เต็มบ้านเลยเพราะเราไม่เสียสละให้ใครทั้งสิ้นเลย โอ๋ย! มันเก่ง” เห็นไหมนั่นกิเลสไง

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเปรียบชีวิตของเรา เราได้ชีวิตนี้มา ได้ร่างกายนี้มาก็เหมือนได้บ้านมาหลังหนึ่งเวลาบ้านมันโดนไฟไหม้ ถ้าใครขนของออกจากบ้านนั้นได้สมบัตินั้นจะเป็นของเรา สมบัติที่เราไม่ได้ขนออกจากบ้านนั้น ไฟมันจะไหม้ไปหมด 

ชีวิตเรากาลเวลามันเผาไหม้ไปตลอดยักษ์มันกินคนตลอด เห็นไหมมืดกับสว่าง มืดกับสว่างมันกินเราไปตลอดเรือนหลังนี้จะต้องโดนกาลเวลามันไหม้หมดไป ถึงเวลาเราต้องสิ้นสุดไปไง สิ่งที่เราเสียสละออกไปแล้วจะเป็นของเรา สิ่งที่เราไม่ได้เสียสละ อยู่ในบ้านเรา

ใช่ เวลาเราตายไปไม่มีสิ่งใดติดกับเราไปนั่นน่ะ ทิ้งไว้กับโลกนี้ แต่มันก็เป็นของเราๆอยู่ เราไม่ได้เสียสละ จิตใจเราไม่ได้ทำใช่ไหม เจตนาการกระทำของเรามันไม่มีใช่ไหม ถ้าเจตนาการกระทำไม่มีดูสิ พระโพธิสัตว์ๆ ท่านเสียสละมา เสียสละใครเป็นคนเสียสละ เสียสละจนคนอื่น คนที่เขามองดูเขาทนไม่ได้ แต่ของท่านท่านเสียสละของท่านได้ไงเสียสละได้เพราะท่านทำจนเป็นความเคยชินของท่านพอทำเป็นความเคยชินของท่านอำนาจวาสนาบารมีเกิดตรงนั้นไง

ถ้าอำนาจวาสนาบารมีเกิดตรงนั้น เวลาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อาฬารดาบส อุทกดาบสบอก “มีปัญญาเหมือนเรา มีความรู้เหมือนเรา ได้ฌานสมาบัติเหมือนเรา เป็นอาจารย์ได้”

เจ้าชายสิทธัตถะบอกไม่ใช่ๆ ไม่ใช่เพราะอะไรเพราะยังมีความขุ่นมัวอยู่ในใจ เพราะมันยังมีความติดข้องอยู่ในใจมันจะเป็นธรรมะได้อย่างไร นั่นล่ะอำนาจวาสนาบารมีอย่างนั้นมันมาจากไหนอำนาจวาสนาบารมีอย่างนั้นมันมาจากการกระทำของท่านเพราะท่านได้กระทำมา จิตใจของท่านมีอำนาจวาสนาบารมี จิตใจของท่านถึงไม่เชื่อคนง่ายๆท่านต้องเชื่อด้วยเหตุด้วยผลของท่าน ท่านต้องวิเคราะห์วิจัยของท่านต้องเป็นความจริงของท่าน ไอ้ของเราไม่ต้องให้คนเชื่อหรอกมันเป็นจ้างเขาให้มาชมตัวเองด้วย นี่ไง มันแตกต่างกันแตกต่างกันแบบนี้ไง นี่พูดถึงว่าเวลากิเลสที่มันต่อต้านในใจของเรา

เวลาทำบาปอกุศลไปได้สะดวกสบาย คล่องตัวเลย เวลาทำบุญแสนยาก ยิ่งภาวนายิ่งยากใหญ่ เวลาทำขึ้นไปแล้ว ทุกคนบอกเป็นคนดี ดูสิ คนดีแก้ตัวกันใหญ่เลย คนดีทั้งนั้นน่ะ ฉันทำความดีมหาศาล ฉันทำดีมาเยอะแยะเลย ไอ้ผิดเล็กน้อยมันจะเป็นสิ่งใดไป

ทำดีก็คือทำดี ทำผิดก็คือทำผิด ผิดกฎหมายคือผิดกฎหมาย มันจะดีอย่างไร

ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่นเราหลวงปู่มั่นเราท่านเมตตามากนะ หลวงตาท่านเล่าประจำเวลาพระไปอยู่กับท่านนะ ในเมืองไทยมันมี๒ นิกาย มันมีธรรมยุตกับมหานิกายหลวงปู่มั่นท่านเป็นธรรมยุต ถ้าธรรมยุต ใครไปอยู่กับท่าน ท่านก็รับไว้ แล้วเวลาองค์ไหนมีอำนาจวาสนาท่านก็ให้ญัตติเป็นธรรมยุตแต่อย่างองค์ไหนที่ท่านเป็นมหานิกาย ท่านบอกไม่ต้องญัตติๆ ไก่มันยังมีชื่อ มันก็แค่ชื่อเท่านั้นน่ะ เวลาปฏิบัติก็ปฏิบัติไปอย่างนั้นเวลาปฏิบัติไปอย่างนั้น เวลาลงอุโบสถ เวลาเป็นมหานิกายท่านก็ให้อยู่นอกหัตถบาสเวลาธรรมยุตท่านก็ลง 

เขาบอกว่าหลวงปู่มั่นแบ่งแยก

ก็มันผิดกฎหมาย มันผิด นี่ไง นานาสังวาส มันร่วมสังฆกรรมไม่ได้ทำสามีจิกรรมด้วยกันไม่ได้มันอยู่ในพระไตรปิฎก สิ่งนี้มันผิดกฎหมายๆ คนที่เขามีสติปัญญาเขาไม่ทำผิดกฎหมาย แล้วบอกมันผิดกฎหมายนะบอกว่ายังติดอยู่ ยังติดข้องอยู่

คนที่เคารพกฎหมายเป็นคนเลวใช่ไหม คนที่เหยียบย่ำกันไปหลวงตาท่านพูด เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปแล้วแสดงธรรมเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปแล้วแสดงธรรมอย่างนั้นถูกต้องใช่ไหม คนที่เคารพกฎหมายคนที่มีศีลมีธรรมในหัวใจแล้วท่านทำเพื่อประโยชน์ ท่านทำเพื่อประโยชน์ มันไม่มีทิฏฐิมานะ 

ท่านพูดเอง ถ้าท่านไม่มีทิฏฐิมานะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านก็จับญัตติหมดสิ เป็นธรรมยุตหมดเลย ลูกศิษย์ท่าน หลวงปู่ชานี่ลูกศิษย์ท่านครูบาอาจารย์อะไรที่เป็นมหานิกายเยอะแยะไปหมดที่เป็นลูกศิษย์นะอาจารย์ทองรัตน์ก็เป็นมหานิกาย มหานิกายเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเยอะแยะไปหมด แล้วเคารพบูชากันด้วย เคารพบูชากันด้วยหัวใจเคารพบูชาด้วยคุณธรรม

กฎหมายมันก็คือกฎหมาย เราไม่ทำผิดกฎหมายเราสะอาดบริสุทธิ์กฎหมายจะบังคับอะไรเรากฎหมายบังคับสังคมไม่ให้ทำความผิดใครทำผิดต้องตัดสินกันด้วยกฎหมาย เราไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายก็คือกฎหมาย 

ธรรมวินัย ถ้าเราไม่ได้ทำสิ่งใดผิดพลาดไป เขาก็บัญญัติไว้เพื่อคนหน้าด้าน ถ้าไม่มีใครหน้าด้าน มันก็ไม่เป็นโทษเป็นภัยกับใครหรอกกฎหมายไว้ชำระคนหน้าด้าน หน้าด้านหน้าทน ทำสิ่งใดก็เอาสีข้างเข้าถู นั่นน่ะกฎหมายเขาบังคับใช้คนอย่างนั้น แต่คนดีๆ คนดีมันคนดี ท่านก็ไม่ทำผิดของท่านท่านทำคุณงามความดีของท่าน

นี่พูดถึงว่าคนดีเถียงกัน เออ! ฉันก็ดีใครก็ดี คนดีเหมือนกันนะแต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้ามพ้นทั้งดีและชั่วความดีนี้เป็นหนทางในการประพฤติปฏิบัติมัคโค ทางอันเอก ทางก้าวเดินไปของหัวใจ 

หัวใจของเรา เห็นไหม “ว่างๆว่างๆ” ไม่ทำอะไรเลย มันมีธรรมะมาจากไหน หัวใจดวงใดไม่มีมรรคหัวใจดวงใดไม่มีผล ไม่มีมรรคคือมันไม่มีปัญญาไม่มีมรรค เขาไม่มีสติของเขาเขาไม่เกิดสมาธิในใจของเขาเขาไม่เกิดปัญญาในใจของเขา มันจะเกิดมรรคเกิดผลได้อย่างไร

ศีลสมาธิ ปัญญาคือมรรค ๘มรรค ๘ มันต้องเกิดขึ้น มรรค ๘เกิดขึ้น ที่เรามาทำกันอยู่นี่ เราค้นคว้าหาเราค้นคว้าหาชัยภูมิของเราเห็นไหมค้นคว้าหาหัวใจของเรา เห็นไหม ถ้าใครทำความสงบของใจเข้าไปได้นั่นน่ะคือจิตเดิมแท้ของตน นั่นน่ะปฏิสนธิจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเวลาชำระล้างกันก็ชำระล้างในวัฏฏะ 

ทางโลกเขา สิ่งนี้มันเป็นสัญชาตญาณเกิดจากความคิดใช่ไหมความคิดเกิดจากจิต ที่มันทุกข์มันยากกันอยู่นี่ก็เพราะความคิดเรานี่แหละ แต่เวลาเราเชื่อมั่นในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีศรัทธาความเชื่อ เราพยายามจะยับยั้งมันไม่ให้มันส่งออก ให้มันสะสมในตัวของมันเองจนมันตั้งมั่นขึ้นมาถ้ามันตั้งมั่นขึ้นมา สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน เวลาเกิดปัญญาขึ้นมาภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมาจากจิต มันจะรู้มันจะเห็นของมัน 

ใจดวงใดที่มีมรรค มีมรรคมันเกิดจากการกระทำอย่างนั้น คนที่เกิดการกระทำอย่างนั้น คนมันสกปรกมาแล้วเขาล้างมือของเขาจนสะอาดเขาจะสงสัยในความสกปรกของเขาหรือไม่ของเรามือเหม็นๆ ล้างก็ไม่ได้ล้าง จะว่าสะอาดหรือก็ไม่สะอาด มือเราไม่ได้ล้าง

แต่มันล้างด้วยมรรคด้วยผลไง ล้างด้วยมรรคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา วางธรรมและวินัยนี้ไว้ นี่เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เราไปศึกษามาก็ไปจำมา เขาเล่าว่าๆเห็นเขาเล่าว่าเห็นเขาคุ้ยโม้ก็โม้ไปกับเขา แต่ไม่มีความจริงไงเราเป็นคนทำเอง ไม่ใช่โม้เกิดจากข้อเท็จจริง มันต้องเป็นอย่างนี้ 

ฉะนั้นหลวงปู่มั่น เวลาท่านแสดงธรรมท่านแก้จิตนะต้องเป็นอย่างนี้ต้องเป็นอย่างนี้จะปฏิบัติในหนทางใดมาก็แล้วแต่ ต้องเป็นอย่างนี้ แล้วถ้าไม่มีอาการที่ต้องเป็นอย่างนี้มันจะเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร

เวลาคนกินข้าวมันเข้าทางปากทั้งนั้นน่ะ ไม่มีใครเข้าทางอื่น เว้นไว้แต่คนป่วยหนักเข้าทางสายยางถ้าคนเข้าทางปากทั้งนั้นน่ะแล้วเขาบอกว่าเขากินข้าวเขายัดทางจมูกบ้างยัดทางรูหูบ้างเราเชื่อไหม ไม่เชื่อหรอก มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก 

นี่ก็เหมือนกัน มันต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะมันต้องเข้ามาทางนี้ นี่ไงอริยสัจสัจจะความจริงมันเป็นแบบนี้ไง ถ้าสัจจะความจริงเป็นแบบนี้ มันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเราฝึกหัดเราฝึกฝนขึ้นมาถ้าเราฝึกหัด เราฝึกฝนขึ้นมา

เราทำหน้าที่การงานมาทั้งหมดใช่ไหม งานทุกอย่างเราก็ทำมาแล้ว เราว่าเรามีความสามารถทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเป็นความจริงๆความจริงมันมาจากไหนล่ะ ถ้าความจริงมันมาจากไหน

ที่เราทำแล้ว ดูสิ ทำบุญทิ้งเหวๆ ทำบุญทิ้งเหวอย่างนี้เพื่อเหตุนี้ เพื่อให้จิตใจมันพัฒนาการของมัน วิวัฒนาการของมันขึ้นมามันมีหลักของมันขึ้นมา 

เวลานั่งสมาธิภาวนานะมันจะเจ็บมันจะปวดอย่างนั้นน่ะงานอย่างอื่นเราก็ทำมาหมดแล้ว ของแค่นี้ทำไมเราทนไม่ได้ เห็นไหมขันติธรรม ขันติอย่างหยาบๆ ผู้ที่มีอำนาจมากกว่าเราติเตียนเรา เออ! เราทนได้ ขันติอย่างกลาง คนที่เขาเสมอตนเวลาเขาติเตียนเรา เราทนได้ ไอ้คนง่อยเปลี้ยเสียขาถ้ามันติเตียนเราได้ นี่ขันติอย่างประเสริฐ นี่พูดถึงขันตินะ ขันติมีอย่างกลางอย่างหยาบอย่างละเอียดแต่เวลาขันติในใจของเราล่ะ 

ขันติธรรมๆ เวลาต่อสู้กับมัน เวลามันรู้เท่าทันกันเวลารู้เท่าทันมันเสมอกันเสมอกันก็เป็นอุเบกขาอุเบกขามันเป็นธรรมะไหมอุเบกขามันเป็นชื่อ อุเบกขามันเป็นอาการของจิต แต่ถ้ามันลงเป็นสมาธิมาล่ะถ้ามันพุทโธๆมันละเอียดเข้ามาล่ะ มันไม่ใช่อุเบกขา เพราะมันมีสติสมบูรณ์มันมีการปล่อยวางเข้ามา มันมีรสของธรรมๆรสของสมาธิธรรม รสของสติธรรม รสของสมาธิธรรม รสของมันๆ รสของมัน เราว่างเวิ้งว้าง ไม่ใช่เวิ้งว้างมันไม่รู้เรื่องนะ

ไอ้ที่ว่างๆ ว่างๆ มามันพูดโดยไม่มีที่มาที่ไปไง แต่ถ้าเป็นสมาธิมันเวิ้งว้าง มันเบา จิตนี้เหมือนอยู่บนอวกาศมันลอยอยู่อย่างนั้น นี่ไงมันรู้มาจากไหนล่ะ มันรู้มาจากตำราหรือ มันเป็นสมาธิที่ชื่อใช่ไหม ถ้ามันเป็นสมาธิที่ใจไง นี่ไง รสของสติ รสของสมาธิ รสของปัญญา แล้วเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมายิ่งมหัศจรรย์ขึ้นไปอีก 

เวลามันมหัศจรรย์ขึ้นมามหัศจรรย์ขึ้นมาจากไหนล่ะมหัศจรรย์ขึ้นมาเวลามันเกิดขึ้นมาจากเรา เราก็ฝึกหัดของเรา นี่ธรรมจักร จักรมันเคลื่อน เวลาธงธรรมจักรเวลาล้อของจักรมันเคลื่อนแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ ไม่มีใครจะมาขัดแย้งได้กงล้อของธรรมมันเคลื่อนไปแล้วๆ เพราะเคลื่อนมาจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเตือนสติแล้วถ้ามันจะเคลื่อน มันต้องเคลื่อนในหัวใจของเราไง ถ้ามันมีจักรอย่างนี้ความคิดของเรามันเป็นกงจักร มันทำแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจ แต่ถ้ามันเป็นธรรมจักรนะ มันบีบบี้สีไฟกิเลส 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้ให้คนมีความเมตตาต่อกันให้มีน้ำใจต่อกันนะ อย่าเบียดเบียนกันอย่าทำร้ายกันให้อภัยต่อกันแต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญสรรเสริญการฆ่ากิเลส ตัดป่าทั้งป่าไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว ตัดป่าทั้งป่า ฟังสิ ป่าทั้งป่านี่ไถราบเลยแต่ต้นไม้อยู่ครบ ไม่มีสิ่งใดบุบสลายเลย 

เวลาทำลายกิเลสนะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญคือทำลายกิเลสในใจของเรา ถ้าในใจของเราได้สัจจะอันนั้น ใจดวงนี้มันจะไปทำร้ายใครแม้แต่ตัวมันเองเห็นแล้วมันยังน้ำตาไหลพรากๆ เห็นการเกิด แก่ เจ็บตายแล้วมันยังสังเวชขนาดนี้ตัวเราเองมันทุกข์ยากขนาดนี้ ตัวเราเองยังระทมขนาดนี้แล้วเราจะไปเบียดเบียนใครเราจะทำใครให้สะเทือน

ตัวเราเองมันสะเทือนขนาดนี้นะ การเวียนว่ายตายเกิดมันไม่มีจบมีสิ้น แล้วถ้ามันจบสิ้นไปแล้วมันสะเทือนหัวใจของตนถ้ามันสะเทือนใจของตนแล้วมันจะไปทำร้ายใคร มันจะทำใครให้เจ็บช้ำน้ำใจ นี่ไง ถ้ามันเป็นธรรมๆขึ้นมาให้เป็นธรรมตรงนั้นไม่ใช่คนดีเถียงกัน ข้าก็ดี เอ็งก็ดี ทำแต่คุณงามความดี ไม่เคยทำความชั่วเลยของเล็กน้อยทำไมมาตามจองล้างจองผลาญกันไง แต่ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาแล้วจบ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน“อานนท์ ตักน้ำมาเถิด เรากระหายเหลือเกิน” ไปตักน้ำมา จากน้ำขุ่นๆใส พระอานนท์มหัศจรรย์มากไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “มันเป็นเช่นนี้เองอานนท์”เศษของกรรมเราเคยเป็นพ่อค้าโคต่างเราเคยจูงโคไปทำอย่างนี้มา 

นี่ไงแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เศษของกรรมๆ มันยังตอบสนอง คนเรามีเวรมีกรรมจิตใจจะสูงส่งจิตใจจะดีงามขนาดไหนความผิดพลาดความต่างๆ ก็เรื่องของเวรของกรรม มันมีของมัน แต่โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภมียศเสื่อมยศมันเรื่องของเขาจิตใจของเราเราเข้าใจแล้ววางหมด คำว่าวางของเรา วางจากภายใน

เวลากระแสสังคมกระแสลมแรงมันจะขนาดไหนมันพัดผ่านมาจบ โลกธรรม ๘จบ เท่าทันมันหมดแล้ววางมันหมด นี่จิตใจที่ฝึกแล้ว เราจิตใจที่ยังไม่ฝึกมันถึงทุกข์ยากอยู่นี่ไง เราถึงมาฝึกหัด ฝึกหัดกันเพื่อให้เป็นจิตใจที่ได้ฝึกแล้ว เอวัง